SINGAPOREANS

ชีวิตจริง สิงคโปร์

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ได้รู้จักเพื่อนสิงคโปร์คนนึงชื่อโจ(อายุมากกว่าเราหลายปี) โจเป็นผู้หญิงมีสามีและลูกเล็กๆ อีก 2 คน


โจทำอาชีพไกด์ ด้วยความที่คุยกันถูกคอ โจเลยออกปากชวนเราให้ไปเที่ยวสิงคโปร์ โดยอาสาจะนำเที่ยวให้ในสถานะเพื่อนที่ไม่ต้องมีค้าจ้างใดๆ ต่อกัน พร้อมกับทิ้งนามบัตรไว้ให้

จากนั้น 2 เดือน เราแพ็คกระเป๋าแล้วนัดโจมารับที่สนามบิน ตั้งใจจะเที่ยวสัก 5 วัน แบบเจาะละเอียดลึกทุกซอกทุกมุมของประเทศที่เพื่อนเป็นพลเมือง

ในระหว่างที่โจนำเที่ยวสถานที่ต่างๆ เราก็มีโอกาสได้คุยกันในมุมของความเป็นส่วนตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน หรือแม้กระทั่งการเมือง เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติซึ่งกัน

ภายนอก เรามองโจตลอดว่าเป็นคนร่าเริง สุขภาพจิตดีเยี่ยม แต่พอคุยไปคุยมา ทุกอย่างมันกลับตรงกันข้าม โดยชิ้นเชิง ภาพภายนอกกับความจริงข้างใน มันช่างต่าง ราวฟ้ากับเหว




เริ่มจากเราที่เล่าไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต

เราเป็นพลเมืองไทยที่มีความีอิสระให้กับตัวเองแบบเกือบๆ เต็มร้อย เวลางานคือทำงานแต่เวลาเที่ยว ก็จะเที่ยวจริงๆ เป็นคนไม่มีความทุกข์อยู่ในอก หาได้เยอะก็กล้าใช้ หาได้น้อยก็ใช้ตามน้อย และในความเป็นพลเมืองไทย ก็ไม่มีอะไรที่จะมาบีบให้กลายเป็นคนตัวเล็ก ยกเว้นความคิดตัวเอง

แม้ที่ผ่านมาการเมืองบ้านเราจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หรือไม่ดีเลยก็ว่าได้ แต่ไม่ได้มีผลกระทบในการดำรงชีวิตสำหรับเรามากนัก เพราะเราไม่ใช่คนทะเยอทะยานอยาก แต่เราเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตในมุมที่เรียบง่าย ในแบบที่เราเป็นเรา

โจบอกว่า ตั้งแต่เจอเราก็รู้สึกแล้วว่าอิจฉาผู้หญิงคนนี้จริงๆ ผู้หญิงมีวิธีเลือกสิ่งต่างๆ ให้กับตัวเอง อยู่ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่รัก ประเทศที่ไม่ผูกขาดความคิด และไม่เห็นพลเมืองเป็นแค่ไม้ประดับ

ตอนนั้น เรายังเย้าโจว่า คุณเอาอะไรมาพูด ประเทศไทยสู้อะไรได้กับประเทศของคุณ ดูประเทศคุณสิ บ้านเมืองสะอาด คดีอาชญากรรมไม่มี เทคโนโลยีก้าวล้ำและการศึกษาก้าวไกล

โจบอก มันก็แค่เปลือกนอกเท่านั้นแหละปริม มีความจริงครึ่งนึงแต่อีกครึ่งนึง คือภาพลวงตา พลเมืองสิงคโปร์ ดูภายนอกเหมือนเป็นคนที่มีตวามสุข มีสาธารณูปโภคที่พรั่งพร้อม แต่ไม่มีใครรู้หรอก ว่ากลุ่มคนหาเช้ากินค่ำแบบเราต้องต่อสู้กับอะไรบ้าง

ในแต่ละวัน ถ้าไม่ยิ้มให้กับลูกค้าในการต้อนรับ เราก็แทบจะหาเหตุผลที่จะยิ้มไม่ได้เลย ทุกอย่างมีแต่ความจริงจัง และซีเรียส คิดแต่เรืองทำมาหากิน เพราะค่าครองชีพมันสูงตามคุณภาพของสังคม อย่าพูดเรื่องทำมาหาเก็บเลย ถ้าคุณไม่ใช่กลุ่มนักธุรกิจในประเทศนี้ คำว่า ”รวย” สะกดกันไม่ถูก

แล้วโจก็เล่าต่อว่า โจและสามีทำงานด้วยกันทั้งคู่ ลูกทั้ง2 อยู่ในวัยอนุบาล เราต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเพื่อให้พอกับค่าใช้จ่าย เดือนใหนมีนักท่องเที่ยวติดต่อมาเยอะก็ดีไป แต่บางเดือนก็แทบไม่มี

ปีไหนที่สามารถหานักเรียนไทยมาอยู่กินด้วย ก็โชคดีไป ได้รายได้จากตรงนี้เป็นหลักให้ ซึ่งรับได้เต็มที่แค่ 2 คน เราเลยถามโจว่า หมายถึงเด็กไทยมาเรียนที่นี่ แล้วยูว์รับเป็น Family เหรอ โจตอบว่าใช่ ดูแลให้หมด ทั้งหาโรงเรียน รับส่ง และอาหาร 2 มื้อคือเช้ากับเย็น

เราถามต่อว่า แล้วทำไมต้องจำกัดรับแค่ 2 ทำไมมากกว่านั้นไม่ได้ โจตอบว่า ครอบครัวเราเป็นชาวแฟลต อาศัยอยู่กัน 4 คน พ่อแม่ลูก รับเพิ่มได้แค่อีก 2 ถ้าเกินจากนั้นจะอึดอัด เพราะอัดแน่นเกินไป

เราเลยถามต่อว่า แล้วทำไมไม่ซื้อเป็นบ้านจะได้รับเยอะขึ้น เพราะเด็กไทยก็นิยมมาเรียนที่นี่เยอะนะ

โจหัวเราะ "ปริม บ้านที่นี่หลังนึงเท่าไหร่ เอาแค่หลังเล็กๆ นะ ราคาก็ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ยูว์รู้มั้ยบ้านที่เป็นหลังๆ ที่เราขับรถผ่านมา ส่วนใหญ่คือเศรษฐีต่างชาติทั้งนั้นที่เขามาซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่สอง เห็นคอนโดนั่นมั้ย เพิ่งสร้างด้านหลังคอนโดติดสวนสาธารณะ เป็นบริเวณที่อากาศดีที่สุดของที่นี่ ขายห้องละ 450 ล้าน คนแห่ซื้อหมดภายในพริบตา แต่คนซื้อไม่ใช่คนสิงคโปร์ คนสิงคโปร์จริงๆ ไม่มีปัญญา พวกที่มาซื้อ คือเศรษฐีต่างชาติและพวกศิลปิน ดาราระดับตัวท็อป มาซื้อประดับบารมีกัน"

เราฟังแล้วอึ้งในสิ่งที่เราไม่เคยรู้ นั่งรถผ่านไปอีกนิด เห็นที่ใต้ถุนแฟลตเหมือนมีการจัดงานอะไรสักอย่าง เราถามโจว่า เขาทำอะไรกัน โจบอกจัดงานศพ คนที่นี่จัดงานศพที่ใต้ถุนแฟลต แบบโล่งโจ้ง ใครผ่านไปผ่านมารู้หมดว่าใครตาย ไปจัดวัดไม่ไหวค่าใช้จ่ายสูง

แม้แต่แฟลตก็ต้องเสียค่าวางศพให้เขา ไม่ได้วางฟรีๆนะ ไม่จ่ายเขาก็ไม่ให้ตั้งศพ

OMG ดูลำบากไปทุกอย่าง

แล้วโจก็หันมาถามเราว่า การเมืองบ้านยูว์ตอนนี้เป็นไงบ้าง เราก็บอกว่า ก็เดิมๆ พลัดกันมาประท้วงที่หน้าทำเนียบ หรือไม่ก็เข้าไปประท้วงถึงข้างในเลย

โจทำตาโต แล้วบอกว่า ทำเนียบบ้านยูว์มันเข้าง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ รู้มั้ยที่นี่ แต่งตัวแบบนี้ แค่ไปเดินเฉียดๆ ทหารเขาก็ออกมาไล่แล้ว ทำเนียบที่นี่ต้องบุคคลสำคัญจริงๆ ถึงจะได้เข้า ต้องระดับ VIP ถึงจะได้เห็นหน้าผู้นำของประเทศ

ขนาดเราเป็นพลเมืองที่นี่ตั้งแต่เกิด ยังไม่เคยเห็นหน้าเลย เขาไม่ใช่บุคคลที่จะมาเดินตามถนนหนทาง และลึกๆ คนพื้นเมืองอย่างเราก็ไม่รู้ว่าต้องดีใจหรือไม่ดีใจในความเหินห่างนี้ อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็อยู่ เพราะเขาไม่ได้ให้สิทธิ์พลเมืองแสดงความคิดเห็น

จากที่ตั้งใจจะอยู่เที่ยว 5 วัน เราก็เริ่มรู้สึกเกรงใจโจ เพราะนั่นหมายถึงเขาขาดรายได้ใน 5 วันนี้ เพราะหลายครั้งที่เราเห็นโจรับโทรศัพท์แล้วปฏิเสธว่าไม่ว่าง กำลังดูแลเพื่อน เดี๋ยวจะโทรหาไกด์อีกคนไปรับงานแทน เราเลยโกหกโจว่า เราต้องกลับก่อนกำหนด เพราะลืมไปว่ามีนัดทำธุระ คนที่ไทยเพิ่งโทรมาทวง

โจไปส่งที่สนามบิน เรายื่นซองให้ บอกโจช่วยรับไว้เถอะ มันไม่ใช่ค่าจ้างนะ แต่เราฝากไว้ให้หลาน 2 คนเป็นค่าขนม ถือว่าเราเลี้ยงขนมเด็ก ซึ่งไม่เกี่ยวกับโจ ดังนั้นยูว์ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

จริงๆ มีอะไรที่อยากจะเล่าสู่เยอะแยะนะ แต่เราพิมพ์ไม่ไหว และหลังกลับจากไทย เราก็พยายามหาลูกค้าช่วยโจ พยายามถามว่าใครสนใจจะส่งลูกไปเรียนที่นั่นบ้าง เรามีคนที่รู้จักแนะนำให้ ส่งเบอร์ให้แล้วบอกว่าเราแนะนำมา ส่วนที่เหลือให้คุยกันเอง

อ่านมาถึงตรงนี้ ยังมีใครอิจฉาพลเมืองสิงคโปร์หรืออยากไปเกิดเป็นพลเมืองที่นั่นอีกมั้ยนะ

-----------------------------------------------------------------

ที่มา: มิตรสหายออนไลน์

ความคิดเห็น